วิชาเทคโนโลยีชั้นม.5/8กลุ่มa1
โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120
15 ตุลาคม 2563
27 สิงหาคม 2563
โรคระบาดCOVID-19
ข้อมูลเเละการระบาดของโรคCovid-19
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น "การระบาดใหญ่" หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคของโลก
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ของสหรัฐฯ ระบุว่า เข้าเดือนที่ 5 การระบาดใหญ่ที่เริ่มจากจีน ทำให้มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกแล้วกว่า 3.69 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตกว่า 263,862 ราย ใน 185 ประเทศ เขตเศรษฐกิจ และ ดินแดน ทั่วโลก
- อนามัยโลกประกาศให้โควิด-19 เป็น "การระบาดใหญ่" ทั่วโลก
- มารู้จักไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบระบาดในจีน
- ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถาม-นพ.ธนรักษ์ตอบ เรื่องสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในไทย
ข่าว/ประชาสัมพันธ์
ประกาศ กพท. เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศ ในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
เพื่อให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศและผู้ดำเนินการสนามบินมีแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการให้บริการการบินในเส้นทางระหว่างประเทศที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization; ICAO) และสอดคล้องกับกฎระเบียบของไทยที่มีผลใช้บังคับอยู่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศกำหนดแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังต่อไปนี้
- ให้ยกเลิกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานและผู้ดำเนินการสนามบิน ประกาศ ณ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2563 และให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน
- แนวปฏิบัติตามประกาศนี้ให้ใช้บังคับแก่การปฏิบัติการบินในเส้นทางการบินระหว่างประเทศ (International Flights) และสนามบินที่ให้บริการแก่การบินระหว่างประเทศ
- ประเภทของอากาศยานขนส่งบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินเข้าออกราชอาณาจักรไทยให้เป็นไปตามประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยเงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทย
- ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศยึดถือแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่ 7/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) สั่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และมาตรการ แนวทาง หรือแนวปฏิบัติอย่างอื่นที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) หรือรัฐบาลกำหนด
- ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศดำเนินมาตรการ ดังนี้
(1)แจ้งให้ผู้โดยสารทราบถึงมาตรการทางสาธารณสุขของทางการไทยในการควบคุมและป้องกันโรค ทั้งมาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร มาตรการเมื่อเดินทางถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร และมาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร เช่น การกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้ (State Quarantine) เป็นเวลา 14 วัน เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว การลงแอปพลิเคชั่นติดตามอาการและการเดินทาง เข้าสถานที่ต่าง ๆ การตรวจหาเชื้อโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR เป็นต้น
(2) ในกรณีที่ปรากฏว่าท่าอากาศยานต้นทางไม่มีการตรวจคัดกรองผู้โดยสารและบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยาน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศทำการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้โดยสาร โดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact infrared thermometer) ก่อนออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) และสังเกตอาการโดยทั่วไป หากวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ทันที หากการวินิจฉัยเห็นว่ามีความเสี่ยง ให้ระงับการออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) แก่ผู้โดยสารนั้น
(3) ก่อนออกบัตรโดยสาร ให้ตรวจสอบเอกสารสำคัญของผู้โดยสารตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่ 7/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) สั่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และมาตรการอื่นที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งระบุเงื่อนไขของเอกสารจำเป็นสำหรับบุคคลประเภทต่าง ๆ ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้ระงับการออกบัตรโดยสารแก่ผู้โดยสารนั้น
(4) ในกรณีที่ให้บริการเช่าเหมาลำ (Charter Flight) ให้กำหนดให้ผู้เช่า (Charterer) วางมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่จะนำขึ้นเครื่อง โดยการบริการระหว่างประเทศที่มีสถานการณ์การระบาดของโรคสูง ให้กำหนดให้ผู้โดยสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR ให้ตรวจสอบก่อนออกบัตรโดยสาร
(5) ในระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อออกบัตรโดยสาร ถ้าพบว่าผู้โดยสารไม่มีหน้ากากปิดจมูกและปาก (Mask) หรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก (Face Covering) และไม่สามารถจัดหามาแสดงได้ก่อนการเดินทาง ให้ระงับการออกบัตรโดยสารแก่ผู้โดยสารนั้น
(6) กำหนดให้ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก ตลอดเวลาที่อยู่ในอากาศยาน ยกเว้นในสถานการณ์จำเป็นหรือฉุกเฉิน
(7) กำหนดให้มีมาตรการและวิธีปฏิบัติเพื่อรักษาระยะห่างของผู้โดยสารตลอดระยะเวลาเดินทาง โดยรวมถึงการลำเลียงผู้โดยสารเพื่อขึ้นและลงจากอากาศยาน จำกัดการรวมกลุ่มในขณะจัดเก็บหรือหยิบสัมภาระในที่เก็บของเหนือศีรษะ การย้ายที่นั่งโดยไม่จำเป็น การเข้าแถวรอใช้ห้องน้ำในห้องโดยสาร รวมถึงมีวิธีการปฏิบัติเพื่อให้แน่ใจว่ามีการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ
(8) จัดให้มีแอลกอฮอล์ความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 70% ใช้สำหรับล้างมือไว้ให้บริการอย่างเพียงพอให้กับผู้โดยสารและพนักงานของผู้ดำเนินการเดินอากาศ
(9) กำหนดให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment; PPE) ดังนี้
(ก) นักบินให้สวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก
(ข) ลูกเรือให้สวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้าบริเวณจมูกและปาก และถุงมือยาง (Disposable Medical Rubber Gloves) ตลอดระยะเวลาปฏิบัติการบิน โดยผู้ดำเนินการเดินอากาศอาจพิจารณาจัดหาอุปกรณ์อื่นที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติมได้ เช่น แว่นตา (Goggles) หรือชุดป้องกันเชื้อโรค (PPE) เป็นต้น
(10) งดการให้บริการหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแผ่บพับโฆษณาต่าง ๆ สำหรับผู้โดยสาร ยกเว้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยเท่านั้น รวมทั้งงดการจำหน่ายสินค้าที่ระลึกและสินค้าปลอดภาษีอากร
(11) ให้ลูกเรือติดต่อสื่อสารกับนักบินผ่านอุปกรณ์สื่อสารภายในอากาศยาน (Interphone) เป็นหลัก และได้รับอนุญาตให้เข้าและออกห้องนักบินเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักบินเฉพาะเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น
(12) เที่ยวบินที่ปฏิบัติการบินโดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 120 นาที ให้งดการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มในระหว่างการปฎิบัติการบิน รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่นำติดตัวมา ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นลูกเรือจะเป็นผู้พิจารณาตามสถานการณ์ หากเห็นสมควร ให้ลูกเรือสามารถบริการน้ำดื่มแก่ผู้โดยสารได้ ทั้งนี้ ให้กระทำในพื้นที่ที่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
เที่ยวบินที่ปฏิบัติการบินโดยใช้ระยะเวลามากกว่า 120 นาที สามารถบริการอาหารและเครื่องดื่มได้ โดยพิจารณาบรรจุภัณฑ์แบบปิด (sealed, pre-packaged containers) สำหรับการให้บริการและการจัดเก็บหลังการให้บริการ โดยลดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างการให้บริการให้มากที่สุด แต่ยังคงต้องดูแลและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยในห้องโดยสาร
(13) เที่ยวบินที่ปฏิบัติการบินโดยใช้ระยะเวลามากกว่า 240 นาที ให้มีการสำรองที่นั่ง 3 แถวหลังสุดด้านใดด้านหนึ่งของอากาศยานไว้สำหรับแยกกักผู้ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเพื่อเฝ้าสังเกตอาการและป้องกันการแพร่กระจายของโรค
ในกรณีที่พบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขณะอยู่ในอากาศยาน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศดำเนินมาตรการ On-board Emergency Quarantine ดังนี้
เรื่องควรรู้
ปิด
ปิด
- โรคมะเร็ง คือ โรคร้ายอันดับ 1 ที่คร่าชีวิตคนไทยไปมากที่สุด รองลงมา คือ โรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารมีไขมันสูง ไม่ออกกำลังกาย จนไขมันไปสะสมอุดตันในหลอดเลือด
- โรคอื่นๆ ใน 10 อันดับโรคที่คนไทยมักเป็น และเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดๆ เช่น การเล่นโทรศัพท์มือถือ การรับประทานอาหารไขมันสูง ไม่ขยับตัว หรือออกกำลังกาย ซึ่งได้แก่ โรคเบาหวาน โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ โรคอ้วน และน้ำหนักเกิน
- แต่ก็มีบางโรคใน 10 อันดับที่ยากจะหลีกเลี่ยงต่อปัจจัยเสี่ยง เช่น วัณโรคซึ่งมักเกิดจากละอองสิ่งสกปรกที่ติดต่อหากันได้อย่างไม่รู้ตัว โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศรอบๆ ตัว
- โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคเครียด เป็นอีกโรคที่ติดอันดับ 10 โรคที่คนไทยเป็นกันมาก ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้มักไม่แสดงออกอาการให้คนภายนอกรู้มากนัก
- เพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกวัน คุณควรดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี และหมั่นไปตรวจสุขภาพกับแพทย์บ่อยๆ (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัยได้ที่นี่)
ในปัจจุบัน มีโรคร้ายใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบันที่เสี่ยงทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น หรือกลายเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่เรื้อรังรักษาหายได้ยาก
โดยโรคที่มักคร่าชีวิตคนไทยไปเป็นจำนวนมากทุกๆ ปีนั้นมีอยู่ 10 โรค ซึ่งวันนี้เราจะมาดูกันว่า โรคเหล่านั้นมีอะไรกันบ้าง เพื่อที่เมื่อรู้แล้ว คุณจะได้หาทางป้องกัน และดูแลตนเองอย่างเหมาะสมไม่ให้ร่างกายเสี่ยงเจ็บป่วยเป็นโรคเหล่านี้ได้
1. โรคมะเร็ง
ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ โรคมะเร็งมดลูก หรือโรคมะเร็งเต้านม ก็ล้วนแล้วแต่คร่าชีวิตคนไทยไปแล้วมากมาย โดยสถิติการเป็นมะเร็งของคนไทยนั้นเพิ่มสูงขึ้นถึง 70,000 คน และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ โรคมะเร็งยังครองอันดับโรคที่มีปริมาณผู้ป่วยมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ถึง 5 ปีซ้อน และมีผู้เสียชีวิตไปด้วยโรคนี้ถึงปีละ 50,000 คน
อ้างอิงจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติปี 2561 โรคมะเร็งที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยใหม่เพศชาย คือ โรคมะเร็งลำไส้ รองลงมา คือ โรคมะเร็งตับ และลำดับ 3 คือ โรคมะเร็งปอด
ส่วนโรคมะเร็งที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยใหม่เพศหญิง คือ โรคมะเร็งเต้านม รองลงมือ โรคมะเร็งปากมดลูก และลำดับ 3 คือ โรคมะเร็งลำไส้ ซึ่งโรคเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นโรคจากการใช้ชีวิตประจำวันแบบผิด ๆ ของคนในยุคสมัยใหม่
2. โรคหลอดเลือดหัวใจ
เป็นอีกโรคที่คนไทยมักเป็นกัน ด้วยนิสัยการทานอาหารที่มีไขมันสูง ไม่ยอมออกกำลังกาย บริโภคแอลกอฮอล์บ่อย สูบบุหรี่จัด หรือด้วยพันธุกรรมที่มีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคนี้มาก่อน นอกจากนี้ โรคหลอดเลือดหัวใจยังเป็นอีก 1 โรคแทรกซ้อนของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานด้วย
สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นเกิดจากไขมันส่วนเกินได้ไปจับ หรือเกาะผนังของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ จนหลอดเลือดบริเวณดังกล่าวตีบ และแคบลง จนมีอาการอักเสบ ร่างกายจึงต้องส่งเม็ดเลือดขาวมาทำการซ่อมแซม
3. โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน คือ โรคที่เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้เพียงพอ โดยฮอร์โมนดังกล่าวมีหน้าที่จัดการนำน้ำตาลไปเปลี่ยนเป็นพลังงานในร่างกาย เมื่อฮอร์โมนอินซูลินมีไม่เพียงพอ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าที่ควรจะเป็น และทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ
โรคเบาหวานแบ่งออกได้ 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) เป็นโรคเบาหวานที่เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้ มักพบในเด็ก หรือในผู้ที่มีกรรมพันธุ์เป็นโรคเบาหวานจากคนในครอบครัว
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) เป็นโรคเบาหวานที่เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาเพียงพอต่อร่างกายได้ มักพบในผู้ที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เหมาะสม ไม่ออกกำลังกาย
อาการผู้ที่เป็นโรคเบาหวานในเบื้องต้น จะมีอาการปัสสาวะบ่อย และมีสีเข้ม ถ้าปล่อยไว้สักพักจะมีมดมาตอมในปัสสาวะ รวมถึงมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ดื่มน้ำเยอะ หิวน้ำบ่อย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นแผลง่าย และหายยาก เกิดอาการชาตามมือเท้า
4. โรคความดันโลหิตสูง
หรือโรคภาวะความดันโลหิตสูง โดยผู้ป่วยโรคนี้มีความดันสูงถึง 140/90 มิลลิเมตร-ปรอท ขึ้นไป โดยที่ความดันของคนปกติจะอยู่ที่ 90-119/60-79 มิลลิเมตร-ปรอท โรคความดันโลหิตสูงแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
- ชนิดแบบที่ไม่ทราบสาเหตุ (Essential hypertension) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร พบได้สูงถึง 90-95% ของผู้ป่วยโรคนี้ เชื่อว่า น่าจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันของเอ็นไซม์ ฮอร์โมน และต่อมที่ควบคุมความดันในร่างกายทำงานผิดปกติไป หรืออาจจะเกิดจากพันธุกรรม การรับประทานอาหาร
- ชนิดแบบทราบสาเหตุ (Secondary hypertension) พบแค่ 5-10% ของผู้ป่วย เกิดจากโรคต่างๆ ที่ส่งผลต่อหลอดเลือด ต่อหัวใจ และสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ที่พบบ่อย คือ โรคไตเรื้อรังจากการติดสุรา เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต และเนื้องอกในสมอง
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือแม้แต่การทายาสเตียรอยด์บางชนิด ก็สามารถทำให้เป็นโรคนี้เช่นกัน
อาการเบื้องต้นของโรคความดันโลหิตสูง คือ มึนหัว วิงเวียนศีรษะ สับสน เจ็บหน้าอก ใจสั่น เหงื่ออกมาก และปวดศีรษะมาก หากคุณมีอาการเหล่านี้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะนั่นอาจเป็นอาการเริ่มต้นโรคนี้ได้
5. วัณโรคที่มากับอากาศ
โรคปอดอักเสบ หรือวัณโรค เป็นโรคระบบทางเดินหายใจชนิดเดียวกัน ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า "มายโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลสิส (Mycobacterium tuberculosis)" ซึ่งมีแนวโน้มของผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มสูงขึ้นถึงปีละ 70%
จากสถิติปี 2550-2559 จำนวนผู้ป่วยวัณโรคยังคงครองอันดับสูงอยู่ โดยเฉพาะวัณโรคปอดซึ่งเป็นประเภทของวัณโรคที่อยู่อันดับสูงสุด โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง และสามารถติดต่อสู่คนอื่นได้ง่าย โดยเฉพาะจากสารคัดหลั่งต่างๆ ที่ออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยวัณฏรคยังอาการทรุดลงได้เร็วหากสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์จัด โดยอาการเบื้องต้นของวัณโรคนั้น ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงออก แต่หลังจากนั้นจะไอแห้งติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์ มีเลือดปนออกมาด้วย นอกจากนี้ ในบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย หรือไข้ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังจะมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดมาก แน่น และเจ็บหน้าอกทุกครั้งที่ไอ หากคุณต้องอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคนี้ ก็ให้จัดสถานที่ให้โล่งโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่คลุกคลี หรือสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง และในคนที่เป็นก็ควรไปรับยาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
อีกทั้งตัวผู้ป่วยเองก็ควรอยู่ให้ห่างจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านไปที่ที่มีคนเยอะ เพื่อลดการติดเชื้อ และการแพร่เชื้อสู่คนอื่น
6. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โรคปอดเรื้อรัง เป็นชื่อกลุ่มโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคหอบหืด ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในชั้นเยื่อบุ และชั้นใต้เยื่อบุมากขึ้น
เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเข้าไปสะสมข้างในชั้นเยื่อเมือกมากๆ ต่อมผลิตเมือกที่อยู่ใต้ชั้นเยื่อบุจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และผลิตเมือกเข้าสู่หลอดลม จนทำให้เซลล์ที่ทำหน้าที่กวัดกวาดสิ่งสกปรกโดนเมือกเคลือบ แล้วนำพาเอาเมือกจากจุดอื่นๆ เข้าสู่หลอดลมในปริมาณมาก และถุงลมก็จะถูกทำลายจนหายไป
สาเหตุหลักของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังนั้น เกิดมาจากการสูบบุหรี่ การหายใจเอาละอองสารเคมีเข้าไปนานๆ จนเกิดการสะสม มลภาวะในอากาศ และโรคทางพันธุกรรมบางชนิดก็ทำให้เกิดโรคนี้ได้
แต่โดยส่วนมากแล้ว โรคนี้มักจะมาจากผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่จะเข้าไปทำลายเนื้อปอด และหลอดลม ซึ่งในยุคปัจจุบัน คนนิยมสูบบุหรี่กันเยอะขึ้น และเป็นโรคนี้กันมากขึ้นไปด้วย
อาการของโรคเบื้องต้น คือ มีอาการหน้าอกบวมปูด เหนื่อยง่าย แค่เดินก็เหนื่อยได้ หายใจมีเสียง ถ้ารักษาหรือดูแลตัวเองไม่ดี ก็อาจจะเกิดภาวะหายใจล้มเหลวจนเสียชีวิต
7. โรคภูมิแพ้
ภูมิแพ้ที่มีหลากหลายชนิด สาเหตุมาจากอาการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณเกิดการตอบสนองใส่ จนเกิดอาการอักเสบ และแสดงออกมาในรูปแบบของอาการแพ้ แม้กระทั่งอากาศ หรืออาหารก็สามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้ให้ใครหลายคนได้
โรคภูมิแพ้อาจเกิดจากพันธุกรรม และสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณเอง อีกทั้งมีอยู่หลากหลายอาการ เพราะอาการแพ้อาจเกิดแทบจะทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งหลักๆ สามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
- โรคภูมิแพ้ตา เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ไปสัมผัสบริเวณดวงตาจนเกิดอาการแพ้ เช่น น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำมูกไหล
- โรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในจมูก และเยื่อบุโพรงจมูกเป็นเวลานานจนเกิดการอักเสบขึ้น
- โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดขึ้นเมื่อสารก่อภูมิแพ้ไปสัมผัสกับผิวหนังผู้ป่วย จนเกิดอาการแพ้ หรือระคายเคือง เช่น ผื่นลมพิษ คันระคายเคือง
- โรคภูมิแพ้อากาศ เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากผู้ป่วยไปสัมผัสกับฝุ่นละออง หรือสารระคายเคืองที่อยู่ในอากาศรอบตัว จนเกิดอาการแพ้
- โรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินอาหาร เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่ผู้ป่วยแพ้ มักพบในอาหารทะเล อาหารที่มีนม ถั่ว ไข่ ผงชูรส
8. โรคทางจิตเวช
เมื่อคุณพบกับเหตุการณ์ที่กดดัน ทำให้เครียด หรือวิตกกังวลจัด ก็จะส่งผลทำให้สุขภาพจิตแย่ไปด้วย และอาจทำให้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชขึ้น นอกจากนี้ โรคทางจิตเวชยังพบได้ในผู้ที่รับประทานยาลดความอ้วน ยาระงับประสาท หรือผู้ที่เป็นมาโดยกำเนิด
สำหรับตัวอย่างโรคทางจิตเวชจะได้แก่ โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ โรควิตกกังวล โรคแพนิค โรคไบโพลาร์ โรคอัลไซเมอร์ โรคเครียด
ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชหลายรายจะไม่แสดงอาการให้คนภายนอกรู้ เพราะกลัวว่า จะถูกมองเป็นตัวประหลาด หรือเป็นผู้ที่อ่อนไหวง่าย ไม่มีความอดทน ซึ่งความจริงแล้ว โรคนี้เกิดได้จากปัจจัยหลายๆ อย่าง และทุกคนไม่ผิดหากจะป่วยเป็นโรคทางจิตเวชได้
ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชยังสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้เหมือนเดิม เพียงแต่อาจจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากจิตแพทย์ และผู้อยู่ใกล้ชิด ลดความเครียดลงโดยการพูดคุย รู้จักพูดปรับทุกข์กับคนใกล้ชิด ถ้ารู้สึกกดดันให้เอาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นโดยทันที
และในผู้ป่วยรายที่มีอาการผิดแปลกจนถึงขั้นอาละวาด ให้เรียกศูนย์ช่วยเหลือเพื่อมารับตัวไปพบแพทย์ และวินิจฉัยอาการกันต่อไป
9. โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ
เป็นโรคที่ผู้คนยุคปัจจุบันเป็นกันมากขึ้น โดยเป็นผลมาจากการก้มดูโทรศัพท์ การทำงานหน้าจอคอม รวมถึงการเล่นกีฬาที่หนักเกินไป
ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อจะรู้สึกปวดรุนแรงมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้น และอาจปวดมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า เมื่อเป็นแล้วอาการเริ่มหนักขึ้น ก็อาจนำพาให้ป่วยมีอาการทางจิตเวชด้วย เพราะโรคนี้มักทำให้เกิดความรำคาญ และดำนินชีวิตได้ลำบากขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ และอ่อนเพลีย
ผู้ที่เป็นโรคระบบกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นอักเสบสามารถสังเกตได้ง่ายๆ คือ จะมีอาการบวมตามข้อมือ ข้อเท้า ไวต่อเสียงและแสง ปวดศีรษะมากในช่วงเช้า ปัสสาวะบ่อย ปวดท้องเรื้อรัง และท้องเสียง่าย ติดต่อกันเป็นเวลานาน 3 เดือน และถ้ามีอาการปวดหัวรุนแรงขึ้นก็ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
10. โรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน
โรคอ้วนก็เป็นอีกโรคที่คนไทยนิยมเป็นกันมาก เพราะด้วยการบริโภคที่ง่ายขึ้น และการทำงาน หรือใช้ชีวิตแบบคนสมัยใหม่ที่ต้องทำงานตลอดเวลา จนไม่ได้ให้ความสนใจต่อการออกกำลังกาย นอกจากนี้ โรคอ้วนยังสามารถเป็นได้แต่กำเนิดด้วย
โรคอ้วนอาจเป็นผลข้างเคียงจากยาบางชนิดได้ แต่มักมีสาเหตุหลักๆ มาจากโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจเฉียบพลัน ความเครียด
คุณสามารถสังเกตร่างกายตัวเองได้ว่า เสี่ยงเป็นโรคอ้วนหรือไม่ เช่น สังเกตว่า ตนเองมีน้ำหนักที่เกินกว่าความสูงค่อนข้างมากหรือไม่ หรือลำตัวเริ่มหนา และมีอาการหายใจลำบาก หากมีอาการเหล่านี้ นั่นคือ สัญญาณของการเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจังได้แล้ว ก่อนที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา
และในผู้ป่วยรายที่มีอาการอ้วนมากเกินไป จนไม่สารถลดได้เอง แพทย์ก็อาจวินิจฉัยเพื่อทำการผ่าตัด ลดกระเพาะอาหารลงได้
โรคร้ายต่างๆ มักเป็นภัยเงียบที่ซ่อนตัวอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวันที่ผิดเพี้ยนไป อย่าได้ละเลย หรือคิดว่ายังมาไม่ถึง เพราะเราสามารถเจ็บป่วยได้ทุกเมื่อที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี และไม่ใส่ใจในสุขภาพ,
เพื่อหลีกเลี่ยงโรคทั้ง 10 อย่างนี้ คุณควรใส่ใจการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่าเครียดจนเกินไป และพักผ่อนให้เพียง
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
ยุค 5G/6G
5G คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร เรื่องใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด
5G คืออะไร?
โดยยังคงสื่อถึงว่า "เราเดินมาถึงยุคการสื่อสารในเจนเนอเรชั่นที่ 5 แล้ว" ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาเพื่อตอบโจทย์โลกหมุนเปลี่ยนไป รวมถึงการมาของ Internet of Things อย่างเช่น Smart Home, Smart Infrastructure, Smart City, Smart Car เป็นต้น ตามคอนเซ็ปต์ “Anything that can be connected, will be connected.” หรืออะไรที่สามารถเชื่อมต่อได้ก็จะถูกเชื่อมต่อด้วยระบบอินเทอร์เน็ต แต่เพื่อให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด และอะไรที่ต้องการแสดงผลเรียลไทม์จึงจำเป็นต้องมีความรวดเร็วในการรับส่งข้อมูลเช่น การศึกษา, การขนส่ง, การแพทย์ เป็นต้น
ประโยชน์ของ 5G มีดียังไง
แน่นอนว่าต้องมีความเร็วเพิ่มขึ้น เพื่อตรงกับคอนเซ็ปต์ในการใช้งาน แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีอัตราดาวน์โหลดและอัพโหลดแรงเท่าใด ทว่ามีแต่การคาดการณ์กันว่าเร็วแรงมากกว่ายุค 4G ถึง 10 - 100 เท่า ซึ่งจะทำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราได้หลายอย่างในอนาคต และช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ทั้งส่งผลให้เกิดผลิตภัณฑ์หรือบริบทใหม่ของการบริการเช่นกัน
ข้อด้อยของ 5G ที่ทำให้ไม่น่าคบหา
เนื่องจากต้องใช้คลื่นความถี่ที่สูงมากหรือคลื่ นเทคโนโลยีความถี่ระดับมิลลิเมตร โดยถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา สามารถดำเนินการได้ด้วยข้อมูลจำนวนมาก และมีสัญญาณการถ่ายโอนข้อมูลที่มีค่า latency ต่ำ (ความล่าช้าน้อยที่สุด)
ที่มาhttps://news.siamphone.com/news-27303.html
นาย สุรชัย ยางทัด 5/8 NO.11
วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist)
วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist)
พูดแบบภาษาทั่วไป มันก็คือศาสตร์ประเภทหนึ่งที่ผนวกเอาความรู้ด้านเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าไปศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “ข้อมูล (Data)” ที่มีจำนวนมหาศาล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้ถูกจัดเรียงและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ แต่กองเป็นพะเนินเทินทึดังนั้นก็เป็นหน้าที่ของศาสตร์Data Science ที่จะเข้าไปจัดการซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ สร้างสรรค์โปรโมชั่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ และยังช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น แต่ก่อนจะนำข้อมูลไปใช้ ก็ต้องผ่านขั้นตอนการตั้งสมมติฐาน ทดลอง และหาผลลัพธ์ ซึ่งถือเป็นกระบวนการหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ (Scientist) โดยรวมแล้วบทบาทความรับผิดชอบของอาชีพ Data Scientist นั้นค่อนข้างกว้าง ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละองค์กร บางคนอาจจะทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเพียงอย่างเดียว ขณะที่บางองค์กรต้องการคนที่สามารถนำข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ dtfyyhjh
ภูริพัฒน์ วัดพ่วง
-
กำลังโหลด…
-
ข้อมูลเเละการระบาดของโรคCovid-19 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น "การระบาดใหญ่&qu...
-
5G คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร เรื่องใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด 5G คืออะไร? โดยยังคงสื่อถึงว่า "เราเดินมาถึงยุคการสื่อสารในเจนเนอเรชั่นที่ ...